การล่มสลายของวงการเพลงฮ่องกง
ฮ่องกง-ไข่มุกตะวันออกที่มีความเจริญทั้งทางด้านเศรษฐกิจ ตลอดจนความรุ่งเรืองด้านศิลปะ โดยเฉพาะวงการเพลง แม้ว่าเราจะเป็นคนต่างชาติต่างภาษา แต่มั่นใจว่าพวกเราจะต้องฮัมเพลงของศิลปินฮ่องกงไม่เพลงใดก็เพลงหนึ่ง โดยเฉพาะเพลงที่โด่งดังมากับทีวีซีรี่ส์ในอดีต

ช่วงทศวรรษที่ 1970 วงการเพลงฮ่องกงเป็นยุครุ่งเรืองกับการนำเอาทำนองเพลงต่างชาติมาใส่เนื้อร้องจีนกวางตุ้ง ทั้งทำนองเพลงฝรั่ง ญี่ปุ่น ในช่วงนี้ นักร้องระดับแถวหน้าของเพลงแปลงก็คือ Sam Hui (許冠傑) กับ Roman Tam (罗文)ซึ่งเป็นสองนักร้องสำคัญที่ทำให้เพลงกวางตุ้งเป็นที่รู้จักในวงกว้าง พอถึงทศวรรษที่ 1980, 1990 ก็ถึงยุคของ “สามราชาหนึ่งราชินีเพลง (คือ ถานหย่งหลิน (Alan Tam) จางกั๋วหยง (Leslie Cheung) เฉินไป่เฉียง (Danny Chan) และเหมยเยี่ยนฟาง (Anita Mui)” วง Beyond และก็ “สี่ราชาเพลง (ประกอบด้วยจางเสวโหย่ว (Jacky Cheung) หลิวเต๋อหัว (Andy Lau) หลีหมิง (Leon Lai Ming) และ หัวฟู่เฉิง (Aaron Kwok)” อันเป็นยุคที่มีผลงานเพลงอันยอดเยี่ยมออกสู่ตลาดมากมาย ทำให้วงการเพลงฮ่องกงก้าวสู่ยุครุ่งเรืองสูงสุด เพลงในยุคนี้มีอิทธิพลอย่างสูงต่อคนยุคต่อๆมา รวมถึงดึงดูดคนจีนทั้งในฮ่องกง จีนแผ่นดินใหญ่ ไต้หวัน ตลอดจนคนจีนโพ้นทะเลเกิดความรู้สึกร่วม เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะว่า

1 ในศตวรรษที่ 20 เศรษฐกิจฮ่องกงขยายตัวอย่างรวดเร็วจนก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางทางการเงินแห่งหนี่งของโลก และเป็นหนึ่งในเมืองที่มีศักยภาพสูงสุดในด้านการแข่งขันทางเศรษฐกิจของโลก ในยุคทศวรรษ 1990 GDP ของฮ่องกงมีมูลค่าเท่ากับ 1 ใน 4 ของจีนแผ่นดินใหญ่ สังคมฮ่องกงจึงมีสภาพที่มีความหลากหลายทางสังคมและชีวิตความเป็นอยู่ที่สุขสบาย ชาวฮ่องกงจึงใช้บทเพลงในการบรรยายถึงศิลปวัฒนธรรมและชีวิตในสังคม
2 ในด้านของแนวเพลง เพลงป๊อบถือเป็นสัญลักษณ์ของฮ่องกง ที่เล่าถึงความเหมือน ความต่างของประสบการณ์ผู้คนที่หลากหลายมาผสมผสานอยู่ในบทเพลง ทุกบทเพลงต่างก็มีแง่มุมเฉพาะของตัวเองและทุกตัวโน้ตล้วนแต่ปลุกเร้าให้ผู้ฟังได้เกิดความรู้สึกร่วม ไม่ว่าจะเป็นด้านการแสวงหาความสันติ การสรรเสริญความคิดอุดมคติ ความรัก การต่อสู้ชีวิต ล้วนแต่ถ่ายทอดออกมาด้วยท่วงทำนองดนตรีที่เข้าทุกความรู้สึกของคนฟัง (เพลงของ Sam Hui อยู่ในกลุ่มนี้ชัดเจน)
วง Beyond เคยกล่าวว่า “การสร้างสรรดนตรีมีจุดเริ่มต้นจากชีวิต เราค่อนข้างชอบติดตามความเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์โลก เพื่อเป็นไอเดียในการสร้างสรรบทเพลง” พวกเขาจึงเดินทางไปไกลถึงปาปัวนิวกินี เพื่อไปเห็นกับตาถึงชีวิตการต่อสู้ของคนพื้นเมือง ชีวิตที่อดอยากยากเข็น รวมถึงปัญหาการเหยียดผิว การแบ่งแยกชนชาติ สิ่งเหล่านี้เลยกลายเป็นบทเพลง “ช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ (光辉岁月)” ที่พวกเขาอุทิศให้กับเนลสัน แมนเดล่า ที่พวกเขาได้ร้องถึง “ขอให้แผ่นดินนี้ไม่แบ่งแยกสีผิว ไม่แบ่งเขาแบ่งเรา ไม่แยกเขาสูงเราต่ำได้หรือไม่”
ในขณะที่บทเพลง “เที่ยงคืนพเนจร (午夜流浪)” เป็นการบรรยายถึงการต่อสู้ของคนหนุ่มสาวระดับล่างที่ต้องปากกัดตีนถีบในสังคมเมืองฮ่องกง แต่ไม่เคยย่อท้อต่อชีวิตและความฝัน

ในช่วงเวลาดังกล่าว เพลงป๊อบฮ่องกงมีอิทธิพลต่อชีวิตชาวจีนแผ่นดินใหญ่สูงมาก เพราะแนวดนตรีของฮ่องกงมีการผสมผสานศิลปะตะวันออกเข้ากับตะวันตก จึงเป็นสะพานเชื่อมที่ดีในขณะที่จีนเพิ่งอยู่ในช่วงการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจตามนโยบายของเติ้งเสี่ยวผิง ชาวจีนจึงมีความกระหายที่จะรับรู้สิ่งต่าง ๆ จากภายนอก และดนตรีฮ่องกงก็มีเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเอง
พ้นยุคความรุ่งเรือง เพลงป๊อบฮ่องกงเริ่มกู่ไม่กลับ
ปลายทศวรรษที่ 1990 ศิลปินรุ่นเก่า ทั้ง“สามราชาหนึ่งราชินีเพลง” และ “สี่ราชาเพลง” ต่างทยอยอำลาวงการ บ้างก็ล้มหายตายจาก วงการเพลงฮ่องกงเริ่มต้นเร่งหาดาวดวงใหม่ทดแทน แต่มุมมองกลับแตกต่างจากยุคก่อนโดยยึดเอาผลตอบแทนมาเป็นอันดับแรก เลยปั้น”ดาว”แล้วทำเพลง แทนที่จะใช้ผลงานสร้าง“ดาว” ซี่งก็ทำนองเดียวกับเน้นหล่อเน้นสวยก่อนหรือเอาดารามาหัดร้องเพลงทีหลังซึ่งแตกต่างจากยุคทองอย่างสิ้นเชิง
ในขณะที่ชาวฮ่องกงกำลังระเริงกับการ”ปั้นดาว”นั้น วิกฤติต้มยำกุ้งก็ระบาดไปทั่วเอเชีย ชาวบ้านที่เคยร่ำรวยกับการเก็งอสังหาริมทรัพย์ก็แปรสภาพจาก”เศรษฐีเงินล้าน”เป็น”ลูกหนี้เงินล้าน”ชั่วข้ามคืน บ้างก็ถึงกับฆ่าตัวตาย ทำให้สังคมฮ่องกงอยู่ในสภาพที่หดหู่ ความฝันของชาวฮ่องกงต้องสลายด้วยวิกฤติต้มยำกุ้ง จึงไม่มีกระจิตกระใจที่จะสนใจดนตรีอีก ช่วงเวลานี้เพลงระเมิดลิขสิทธิ์เริ่มระบาดไปทั่ว สร้างการสูญเสียกับวงการปีละนับพันล้านเหรียญ ขณะเดียวกัน ผลงานเพลงที่สร้างสรรออกมาก็คุณภาพต่ำลง วงการเพลงฮ่องกงอยู่ในภาวะตกต่ำอย่างเห็นได้ชัด
นับตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมา ในฮ่องกงเริ่มมีการเคลื่อนไหวให้แบ่งแยกกับจีน ทั้งต่อต้านกฎหมายมาตรา 23 ที่ว่าด้วยความมั่นคง และการเกิดกรณี Occupied Central ในปี 2014 ตลอดจนถึงขั้นเรียกร้องเอกราชจากจีน และเหตุการณ์ล่าสุดคือการประท้วงของม๊อบเสื้อดำที่ดำเนินมาร่วมสามเดือนยังไม่มีทีท่าจะยุติ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างชาวจีนแผ่นดินใหญ่กับชาวฮ่องกงเริ่มห่างเหินมากขึ้น
ในขณะที่วงการเพลงฮ่องกงอยู่ในสภาพตกต่ำนั้น นักร้องรุ่นใหม่หลายคนเริ่มมองไปที่ตลาดจีน อย่าง ฟางต้าถง (Khalil Fong) เติ้งจื่อฉี (Gloria Tang Tsz-Kei) และเฉินเหว่ยถิง (William Chan) เป็นต้น แต่เพลงผลงานเพลงของศิลปินยุคนี้ขาดเอกลักษณ์ความเป็นฮ่องกง มันเป็นแค่เพลงป๊อบสมัยใหม่ซึ่งวงการเพลงในจีนแผ่นดินใหญ่ก็ทำได้ดีอยู่แล้ว ทำให้ศิลปินจากฮ่องกงไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร และเมื่อเร็วๆนี้ ศิลปินฮ่องกงระดับแนวหน้ารายหนี่งไปเปิดแสดงในจีนเป็นภาพสะท้อนที่เห็นได้ชัดเมื่อบัตรที่ขายได้มีไม่ถึง 70%
แนวโน้มทิศทางของวงการเพลงฮ่องกง
ทุกวันนี้ เราไม่เห็นผลงานที่ยิ่งใหญ่อย่างผลงานเพลง “จูบลา (吻别)”ของ Jacky Cheung หรือ“ช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ (光辉岁月)” ของวง Beyond อีกแล้ว และด้วยศิลปินอย่าง “สามราชาหนึ่งราชินีเพลง” เราจึงได้เห็นผลงานเพลงดี ๆ พรั่งพรูออกมาราวกับดอกเห็ด ยุคที่ผลงานเพลงส่งผลต่อผู้คนและนำไปร้องรุ่นแล้วรุ่นเล่า ซึ่งตอนนี้เหลือเพียงความทรงจำ
การจราจลที่เกิดขึ้นในขณะนี้ทำให้ชาวฮ่องกงรู้สึกอ้างว้าง โอสถที่จะเยียวยาความรู้สึกนี้ได้ดีที่สุดก็คือเสียงเพลง วงการเพลงป๊อบของฮ่องกงที่เคยรุ่งเรืองสุดขีดก็ค่อย ๆ ถดถอยลงพร้อมๆกับศิลปินรุ่นเก่าที่จากลาไป หลังจากราชินีเพลงล่วงลับไปแล้ว เราไม่เห็นผู้สืบทอดหรือหาราชินีเพลงคนใหม่ไม่เจออีก ความเบ่งบานยุคสี่ราชาเพลงป๊อบไม่เกิดขึ้นอีก วงการเพลงของฮ่องกงอยู่ในสภาพเสื่อมถอย ถ้าหากยังไม่ฟื้นฟูและสร้างสรรอีกครั้ง ศิลปะด้านนี้ของฮ่องกงก็คงถูกวัฒนธรรมอื่นกลืนเพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม และความรุ่งโรจน์ในอดีตคงเหลือเพียงความทรงจำ
chaophraya.net
*ภาพจากอินเทอร์เน็ต
ไม่มีความคิดเห็น