ทำไมคนฮ่องกงถึงออกมาประท้วง (2) – ชีวิตชาวฮ่องกงใต้อาณัติของเจ้าอาณานิคมอังกฤษ
ทำไมคนฮ่องกงถึงออกมาประท้วง (2) – ชีวิตชาวฮ่องกงใต้อาณัติของเจ้าอาณานิคมอังกฤษ
หลังจากที่อังกฤษปกครองฮ่องกงแล้ว อำนาจการปกครองเป็นลักษณะรวมศูนย์ อำนาจสูงสุดอยู่ที่สมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ เช่นการแต่งตั้งผู้ว่าการ การบัญญัติกฎหมาย การทหาร สำหรับชาวฮ่องกงที่เป็นชาวจีนถึง 98% นั้นไม่ได้มีส่วนร่วมและไม่มีปากมีเสียงใด ๆ ในฐานะพลเมือง
ผู้ว่าการเกาะฮ่องกงทั้ง 28 คนล้วนแต่เป็นชาวอังกฤษทั้งสิ้น และก็เป็นคนที่ส่งมาจากลอนดอน ไม่ใช่ชาวฮ่องกงและชาวฮ่องกงไม่มีส่วนร่วมในการลงคะแนนเลือกมา เพราะตามกฎหมายอาณานิคมฉบับปี 1977 มาตรา 105 ระบุไว้ว่า ผู้ว่าการเป็นผู้แทนอำนาจสูงสุดและเป็นตัวแทนของพระราชินีแห่งอังกฤษ ผู้ว่าการไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อชาวฮ่องกง…

1843 ผู้ว่าการคนแรกมาประจำเกาะฮ่องกงและได้จัดตั้งคณะผู้บริหารและสภานิติบัญญัติ แต่องค์กรสำคัญทั้งสองนี้จัดตั้งมาตลอด 37 ปี ไม่มีสมาชิกบริหารคนไหนเป็นคนจีนเลย จนถึงปี 1880 จึงมีการแต่งตั้งสมาชิกผู้บริหารคนจีนคนแรกขึ้นมาอย่างไม่เป็นทางการ นั่นคืออู่ถิงฟาง (伍廷芳)ความจริงแล้ว การแต่งตั้งนี้เป็นเพียงการเอามาเป็นไม้ประดับทางการเมืองเท่านั้น ตั้งแต่ปี 1917 เป็นต้นมา คณะผู้บริหารมีสมาชิกทั้งหมด 14 คนซึ่งคนที่มีบทบาทสำคัญนการบริหารส่วนใหญ่เป็นชาวอังกฤษ ส่วนตำแหน่งที่ไม่มีความสำคัญก็จะได้รับแต่งตั้งโดยผู้ว่าการ (ไม่มีการเลือกตั้งเช่นกัน)

ปี 1949 Alexander Grantham ผู้ว่าการเกาะฮ่องกงในขณะนั้นกล่าวว่า กิจการทางการเมืองที่สำคัญของอาณานิคมอังกฤษก็ควรได้รับการจัดการโดยชาวอังกฤษ คนฮ่องกงซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีสัญชาติอังกฤษจึงไม่มีสิทธิไม่มีเสียงใด ๆ คณะผู้บริหารจะออกกฎหมายอะไรก็ไม่จำเป็นขอความเห็นจากชาวฮ่องกง
ปี 1918 อังกฤษผ่านกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งฉบับแรก โดยระบุว่า ผู้ชายที่มีอายุ 21 ปีบริบูรณ์ และมีคุณสมบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดก็จะมีสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้งได้ ถึงปี 1928 อังกฤษได้แก้กฎหมายฉบับดังกล่าวโดยระบุว่า ชายหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกันในการออกเสียงเลือกตั้ง แต่จนถึงปี 1984 ก็ยังไม่มีสมาชิกในคณะบริหารคนไหนที่มาจากการเลือกตั้ง
ด้านการศึกษา
ปี 1918 อังกฤษออกพรบ.การศึกษาโดยกำหนดให้คนที่มีอายุ 14 ต้องเข้ารับการศึกษา โดยโรงเรียนที่ได้รับการสนับสนุนจากส่วนกลางหรือรัฐบาลท้องถิ่นจะได้รับการศึกษาฟรี แต่รัฐบาลอังกฤษกว่าจะนำกฎหมายนี้มาบังคับใช้อย่างเป็นรูปธรรมก็ล่วงเลยมาถึงปี 1971 หรือ 53 ปีผ่านไป และในปี 1978 จึงเริ่มส่งเสริมการศึกษาภาคบังคับ 9 ปี นับถึงปี 1971 ลูกหลานคนจีนที่เคยรับการศึกษาระดับประถมมี 49.6% ส่วนคนที่เข้าศึกษาระดับอุดมศึกษามีเพียง 1.6% ในปี 1981 คนที่เข้ารับการศึกษาระดับอุดมศึกษาเพิ่มขึ้นเป็น 2.7% เมื่อเปรียบเทียบกับชาวอังกฤษในช่วงปีเดียวกันกลับสูงถึง 15%

Mr. Odell ซึ่งเป็นผู้ตรวจการฮ่องกงในช่วงปี 1878—1897 และเป็นผู้รู้เรื่องเกี่ยวกับเรื่องราวภายในของชนชั้นปกครองอังกฤษอย่างดีได้กล่าวอย่างชัดเจนว่า “ในช่วงเวลานี้ (ศตววรษที่ 19) อังกฤษแทบจะไม่มีความคิดที่จะส่งเสริมให้สังคมจีนมีระดับมาตรฐานเทียบเท่ากับยุโรปแต่อย่างใด หากแต่มีแรงจูงใจที่จะให้รับการศึกษาภาษาอังกฤษ เรียนรู้ภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์อังกฤษ เป็นต้น เพื่อส่งเสริมให้นักศึกษาจีนยอมรับวัฒนธรรมอังกฤษ กลายเป็น “สาวกผู้ภักดีอังกฤษ” ตลอดจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของ”ระบบราชการจีนในอนาคต”

ปี 1878 อังกฤษได้กำหนดให้ภาษาอังกฤษเป็นวิชาบังคับ และภาษาจีนเป็นวิชาเลือก โดยให้สอนภาษาอังกฤษ 5 ชม. ให้ลดการเรียนภาษาจีนจากเดิม 4 ชม.เหลือแค่ 2 ชม.ครึ่ง และสืบเนื่องนโยบายนี้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในปี 1912 ได้จัดตั้งมหาวิทยาลัยฮ่องกงขึ้นโดยเน้นระบบการเรียนการสอนด้วยภาษาอังกฤษเป็นหลัก ภาษาจีนถือเป็นภาษา “ชั้น 2” ที่ไม่ได้ให้ความสำคัญ
ด้านสาธารณสุข
หน้าที่หลักของเจ้าหน้าที่การแพทย์ของรัฐบาลฮ่องกงคือ การให้บริการทางการแพทย์แก่เจ้าหน้าที่อาณานิคม เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร ส่วนคนจีนไม่อยู่ในขอบข่ายที่จะต้องดูแล แต่เมื่อสังคมมีการพัฒนาขึ้น และโรคภัยไข้เจ็บมีการแพร่ระบาดมากขึ้น ความต้องการบริการทางการแพทย์จึงเพิ่มขึ้น เพียงลำพังเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ของรัฐบาลอาณานิคมจึงไม่เพียงพอที่จะรับมือได้

ปี 1848 รัฐบาลอาณานิคมจึงสร้างโรงพยาบาลแห่งแรกขึ้นมา แต่สภาพสุขลักษณะของโรงพยาบาลค่อนข้างแย่ มีจำนวนเตียงไม่เพียงพอกับผู้ป่วย แถมยังขาดแคลนด้านบุคลากรทางการแพทย์ด้วย จนถึงปลายศตวรรษที่ 19 จำนวนเตียงเพิ่งจะมีเพียง 134 เตียง จากบันทึกของโรงพยาบาลชี้ชัดว่า เมื่อเทียบกับจำนวนประชากร (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีน) ในขณะนั้น จึงเป็นอัตราส่วนที่ต่ำมาก จากสถิติของทางโรงพยาบาลในปี 1869 รายงานว่า ผู้เข้ารับบริการเป็นชาวตะวันตกและชาวอินเดียจำนวน 934 คน ส่วนคนจีนซึ่งมีจำนวนประชากรเป็นสัดส่วน 93% กลับได้รับการบริการเพียงแค่ 223 คนเท่านั้น
ในปี 1881 วิศวกรชาวอังกฤษชื่อ Osbert Chadwick ที่ทางอังกฤษส่งมา หลังจากได้ทำการสำรวจทั่วเกาะฮ่องกงแล้ว ได้ออกมาร้องโอดครวญดัง ๆ ว่า “การให้บริการและดำเนินมาตรการด้านสาธารณสุขพื้นฐานเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องรับผิดชอบ” แต่รัฐบาลอาณานิยมกลับบ่ายเบี่ยงโดยอ้างงบประมาณขาดแคลนจึงไม่ยอมลงทุน
ปี 1894 ฮ่องกงเกิดโรคระบาดอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน ทำให้ผู้คนล้มตายไม่ต่ำกว่า 2000 คน และหนึ่งในสามของประชากรต้องอพยพออกจากฮ่องกง
จนถึงทศวรรษ 1960 ทางอังกฤษถึงออกมายอมรับว่า การให้ความปลอดภัยด้านสาธารณสุขเป็นหน้าที่ของรัฐบาล จึงได้กำหนดแผนพัฒนาด้านสาธารณสุขระยะ 10 ปีสองระยะ เพื่อให้บริการสาธารณสุขระดับพื้นฐานแก่ชาวฮ่องกง แต่เนื่องจากระดับมาตรฐานการให้บริการที่ค่อนข้างต่ำ ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของชาวฮ่องกงได้อย่างทั่วถึง จึงก่อให้เกิดความไม่พอใจแก่ทั้งผู้ทำงานด้านสาธารณสุขและชาวฮ่องกง
ด้านที่อยุ่อาศัย
ปี 1843 รัฐบาลอาณานิคมอังกฤษได้จัดพื้นที่ที่ปัจจุบันนี้คือ Central, Admiralty และ Sheung Wan จัดเป็นเขต Victoria จากนั้นก็ทำการถมทะเลขยายพื้นที่ ปี 1857 จัดแบ่งพื้นที่การปกครองใหม่เป็น 4 เขตหลัก 9 เขตย่อย และจำกัดให้คนจีนอยู่ได้เฉพาะด้านตะวันตกของ Pottinger Street จนถึงปี 1870

ปี 1888 William Des Vœux ผู้ว่าการเกาะฮ่องกงได้ออกกฎหมายว่าด้วยการสงวนพื้นที่อยู่อาศัยสำหรับชาวยุโรป โดยกำหนดว่าช่วงระหว่าง Willington Street และ Caine Road จะต้องสร้างบ้านสไตล์ตะวันตกเท่านั้น ปี 1904 ผ่านร่างกฎหมายว่าด้วยการสงวนเขตพื้นที่บนภูเขา โดยกำหนดให้เป็นพื้นที่สำหรับอยู่อาศัยของชาวยุโรปเท่านั้น และ Victoria Peak จะเป็นที่อยู่ของผู้ว่าการฯ โดยห้ามคนจีนมาอาศัยโดยเด็ดขาด เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากผู้ว่าการฯเท่านั้น
ด้านอาชีพการงาน
ภายใต้การปกครองของเจ้าอาณานิคมอังกฤษนั้น คนจีนในฮ่องกงไม่มีสิทธิเท่าเทียมกับคนยุโรปทั้งในด้านสังคม เศรษฐกิจ ขนบธรรมเนียมวัฒนธรรม สังคมฮ่องกงในสมัยนั้นจึงเป็นสังคมที่โหดร้ายสำหรับคนจนซึ่งแทบจะไม่มีสิทธิได้รับความช่วยเหลือ เพราะรัฐบาลอังกฤษไม่เคยให้ความสำคัญกับสวัสดิการของฮ่องกง ไม่มีการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำและไม่มีสิทธิลาคลอด ผู้ชายอายุ 18 ปีขึ้นไปจะไม่มีการจำกัดชั่วโมงทำงาน ไม่มีเงินชดเชยกรณีเจ็บป่วย ไม่มีประกันสุขภาพและไม่มีศึกษาภาคบังคับ

จากการสำรวจเมื่อปี 1971 พบว่า คนงานกว่า 170,000 คนต้องทำงานเกิน 65 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในกลุ่มนี้มีถึงหมื่นกว่าคนที่ทำงานเกิน 105 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และอีก 3000 กว่าคนที่เป็นแรงงานเด็กอายุอยู่ระหว่าง 10-14 ปี
ปี 1974 อังกฤษให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ แต่กลับกำหนดว่า ข้อบัญญัติในอนุสัญญา 36 ข้อไม่เหมาะที่จะนำมาใช้กับสภาพของฮ่องกง
ตัวอย่างของความไม่เท่าเทียมกันนี้ เห็นได้จากแม้แต่ตำแหน่งงานเล็ก ๆ อย่างบุรุษไปรษณีย์ ถ้าเป็นคนจีนจะได้รับเงินเดือนเพียง 30-40 เหรียญ แต่ถ้าเป็นฝรั่งก็จะได้ถึง 1000 เหรียญ แม้ตำแหน่งงานเหมือนกัน แต่ผลตอบแทนไม่เท่ากัน
ก่อนฮ่องกงกลับคืนสู่จีนนั้น มีสภาการค้าและองค์กรพลเรือนต่าง ๆ ที่พยายามขอจัดตั้งระบบสวัสดิการเพื่อเป็นหลักประกันในงามชรา แต่ก็ไม่สามารถจัดตั้งขึ้นมาได้หลังจากที่ต่อสู้ดิ้นรนมาหลายปี เนื่องจากทางรัฐบาลอาณานิคมคัดค้านจึงตั้งไม่สำเร็จ ชาวฮ่องกงจึงมีแต่ระบบบรรเทาทุกข์ทางสังคมเท่านั้น ส่วนการดูแลผู้สูงอายุถือเป็นภาระหน้าที่และความรับผิดชอบของบุตรหลานโดยตรง จนถึงปี 1973 ฮ่องกงจึงเริ่มรู้จักคำว่าประกันสังคม
ด้านสิทธิมนุษยธรรม
ในสมัยอาณานิคมนั้น ฮ่องกงได้รับฉายาว่าเป็นเพชรบนมงกุฏพระราชา แต่อังกฤษไม่เคยให้คุณค่าเช่นนั้น กลับมองเพียงว่าฮ่องกงเป็นเพียงอาณานิคมของตัว แม้คนฮ่องกงโอนสัญชาติเป็นอังกฤษ พวกเขาก็จะได้หนังสือเดินทางพลเมืองชั้นสอง: BDTC (British Overseas Territories citizenship), BNO (British National Overseas) คนที่ถือหนังสือเดินทางประเภทนี้เท่านี้จึงมีสิทธิต่าง ๆ ที่พลเมืองอังกฤษอันพึงได้รับ

สมัยอาณานิคมนั้น กฎหมายที่อังกฤษตราขึ้นมามีลักษณะที่เลือกปฏิบัติต่อคนจีน ปี 1843 รัฐบาลอังกฤษกำหนดเคอร์ฟิวโดยใช้”เหตุผลพฤติกรรมของโจร” กำหนดให้คนจีนเวลาไปไหนมาไหนเวลากลางคืนจะต้องถือโคมไฟเพื่อที่จะได้แยกแยะได้ง่าย นอกจากนี้ ยังกำหนดไม่ให้คนจีนเข้าไปใช้สนามม้าและสถานที่สาธารณะต่าง ๆ ร่วมกับชาวอังกฤษ กฎข้อห้ามนี้ใช้จนถึงปี 1897 จึงถูกยกเลิก

ในที่สุด ปี 1997 ฮ่องกงก็กลับสู่อ้อมอกมาตุภูมิอีกครั้ง หลังจากที่อังกฤษพยายามยื้อขอต่อสัญญาต่อไปอีก 50 ปี แต่เติ้งเสี่ยวผิงไม่ยอมโดยดสำทับนางแท็ตเชอร์ว่า ถ้าอังกฤษยังยื้อต่อไปจีนก็พร้อมจะส่งกำลังทหารเข้ายึดเกาะฮ่องกง และสามารถยึดได้เบ็ดเสร็จภายใน 1 ชั่วโมง
ผู้ว่าการเกาะฮ่องกงคนสุดท้าย Chris Patten จึงเริ่มวางยาจนนำไปสู่ผลลัพธ์อย่างที่เห็นในวันนี้ การวางยาที่ว่าคือ รีบจัดให้มีการเลือกตั้งเพื่อให้ชาวฮ่องกงรู้สึกว่าตัวเองมีสิทธิเสรีภาพในการที่จะเลือกตัวแทนของตัวเอง ซึ่งถ้าอ่านจากประวัติศาสตร์ดังที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นว่า อังกฤษไม่เคยคิดจะให้สิทธิเสรีภาพแก่คนฮ่องกงแต่อย่างใด
....chaophraya.net
ไม่มีความคิดเห็น